NEX กินเรียบครับ เชื่อไหมละ?
ถ้าไม่เชื่อ ต้องลองครับ
ตลาดที่เป็นกล้องถ่าย VDO เปลี่ยนเลนส์ได้จริงๆ มีครับแต่มันขายใครละ?
ปีนึงอาจจะขายได้ 10 ตัว คนซื้อคือทีมอุปกรณ์ที่ซื้อมาปล่อยเช่า คนใช้ไม่ซื้อครับ "เช่า" เอาทั้งนั้น
ผลคือ... DSLR ที่ถ่าย VDO ได้กลับโตพรวดพราดสวนทางเซียนการตลาดที่คิดไว้ทั้งหมด
..
งาน wedding รับกันที่หลักหมื่น ถึง แสนบาท แต่ หลักพันก็เยอะจนตกใจ
ซื้อกล้อง DVO ตัวล่าสุดของ แคนอน 6แสนบาท..เหนื่อยเลยครับถ้าจะต้องมาสู้กับ 7D or 60D ที่รับงานเหมือนกัน
มุมมอง ฝีมือตัดต่อใกล้เคียงกัน ลูกค้าดูที่งานเสร็จแล้ว ....
ปล. 5Dmk2 ถ่าย VDO ได้เหมือนกัน ชัทเตอร์ไม่ขึ้นด้วยครับถ่ายไป 10งาน ขายต่อบอกว่าชัทเตอร์ ไม่ถึง หมื่น...ขายอย่างไวครับน้า
นั่นแหละครับที่ผมกำลังจะบอกคือจริง ๆ ในรายละเอียดมันต่างกันครับ ต่อให้กล้องวิดีโอเปลี่ยนเลนส์ได้มันก็มีความต่าง แต่ไม่ใช่ว่ากล้องอย่าง NEX จะไม่ดี ถ้าใครใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ของค่ายนี้จะรู้ถึง Nature ของแบรนด์นี้ดีว่ามีข้อดีข้อด้อยอย่างไร หรือแม้แต่หนอน หรือนิคเองก็มีดีแตกต่างกันไป มีดีกันทั้งนั้น
ประเด็นมันอยุ่ที่ความเข้าถึงได้ง่ายนั่นแหละที่เป็นตัวแปร สมมุติวันพรุ่งนี้ คุณเดินไปซื้อกล้อง DSLR สักตัว กล้องแทบจะทุกรุ่น จะมีฟังก์ชั่นถ่ายวิดีโอได้แทบทั้งนั้น จะถ่ายได้ดีมั้ย ฟังก์ชั่นหลากหลายแค่ไหน ก็แล้วแต่ความเก๋าในการคิดค้นของค่ายนั้น ๆ คุณจะไปบอกว่า เอากล้องรุ่นที่มันถ่ายวิดีโอไม่ได้มีมั้ย ก็มีแต่ราคาก็ไม่ได้ต่างกันมาก เพิ่มเงินนิดนึงถ่ายได้ทั้ง 2 แบบ ร้อยทั้งร้อยก็ต้องเอาฟังก์ชั่นวิดีโอมาด้วยแบบไม่ได้ตั้งใจ
อีกประเด็นนึงก็คือสมัยก่อนการจะถ่ายวิดีโอให้ได้คุณภาพสูง ต้องใช้กล้อง Camcoder ราคาหลักแสนขึ้นไป แต่สมัยนี้ DSLR ราคาไม่กี่หมื่น ถ่ายได้คุณภาพไม่แตกต่างจากกล้อง Camcoder รุ่นโปรบางรุ่นเสียอีก

แล้วถามว่าถ้า DSLR มันดีขนาดนี้ อีกหน่อยกล้อง VDO ก็ขายไม่ได้สิ ?
ไม่หรอกครับ เพราะผู้ผลิตเค้าคงไม่โง่พอที่จะทำให้กล้อง DSLR ทำอะไรทุกอย่างได้เหมือนกับกล้องวิดีโอหรอก และในอีกมุมหนึ่งเค้าก้ไม่โง่พอที่จะทำกล้องวิดีโอให้ถ่ายภาพนิ่งได้เหมือนกับกล้องภาพนิ่งด้วย ทั้ง ๆ ที่จริง การเอากล้องทั้งสองประเภทมารวมกันไว้ในตัวเดียวมันสุดแสนจะง่ายดายมากในสมัยนี้
เราจึงมีกล้อง DSLR สำหรับถ่ายภาพนิ่ง แถมถ่ายวิดีโอได้
กับกล้อง Camcoder สำหรับถ่ายวิดีโอ แถมถ่ายภาพนิ่งไง
แต่ที่ DSLR VDO มันโตพรวดโตพราดก็เพราะมันมาแบบขาด ๆ เกิน ๆ เนี่ยแหละครับ ผมใช้กล้อง Camcoder รุ่นใหญ่ ๆ มาเกิน 10 ปี ในความรู้สึกส่วนตัวคือซื้อแล้วก็แล้วกัน ใช้มันไปจนมันพัง แล้วก็ซื้อใหม่ ถามว่าปี ๆ นึงคนเราจะซื้อกล้องวิดีโอตัวละแสน ปีละกี่ตัว ....... อุปกรณ์เสริมกับกล้องวิดีโอ เราก็ไม่ต้องซื้ออะไร เพราะมันมีมาให้ครบ บรรดาผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ก็นั่งเซ็ง เพราะไม่รู้จะทำตลาดอะไรกับกล้องวิดีโอเหล่านั้น ขายไปคนก็ไม่ซื้อเพราะในกล้องมันมีหมด

แต่พอมาเป็น DSLR ตัวค่ายผลิตกล้องเองแค่อยากทำตลาดกล้องให้โต ไม่ได้คิดถึง ตลาด Accessory เท่าไหร่หรอก แต่การที่มีบ้างขาดบ้าง ไม่ครบเหมือนกล้องวิดีโอ Camcoder กลับทำให้บรรดาผู้ผลิต Accessory ต่าง ๆ เห็นช่องทางว่าทำตลาดได้ ก็เลยคิดค้นโน่นนี่ ออกมาเพื่อตอบโจทย์กับ DSLR
ทีนี้ก็เลยเป็นเรื่องเพราะพอมีคนคิดคนทำ Accessory ออกมา เริ่มมีการทำตลาดกันมากขึ้น ความน่าสนใจก็เกิด DSLR ก็เลยโตตามไปด้วย เค้าเรียกว่า " น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า "

อีกอย่างที่เป็นข้อดีของการที่กล้อง DSLR มันขาด ๆ เกิน ๆ ก็คือ มันเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้จัดชุดตามความต้องการส่วนตัว ใครอยากใช้ยังไงก็แต่งเอาเอง เหมือนคุณเล่นจักรยาน หรือ พวก RC แต่งกันเข้าไปตามใจได้เลย ในขณะที่กล้องวิดีโอถึงจะเปลี่ยนเลนส์ได้แต่มันไม่ open มากพอกับการใช้อุปกรณ์อื่น ๆ อันนี้เป็นเรื่องทางความรู้สึกของผุ้ใช้นะครับ
ยกตัวอย่างเช่น บางคนหมดเงินเป็นแสนแต่งจักรยาน บางคนหมดเงินไปกับสายลำโพงเครื่องเสียงราคาเป็นหมื่น บางคนเล่นปืนแต่งปืนกันเป็นหมื่น ๆ อันนี้มองในมุมเดียวกันครับ ว่าทำไมคนเล่น DSLR VDO ก็หมดไปกับอุปกรณ์เสริมที่แพงกว่ากล้อง Camcoder
ไม่งั้นทุกคนก็คงไปซื้อจักรยาน LA กันหมดเพราะ มันซื้อแล้วจบ
ทุกคนก็คงไม่ต้องสรรหาเครื่องเสียงแยกชิ้นใช้ Mini compo ก็เพียงพอแล้วครับ
บางทีมันเป็นเรื่องจิตวิทยาเหมือนกันนะ
ตอนแรกว่าจะมีทริกอะไรสักเล็ก แต่เริ่มยาวและขอเบรคไว้แค่นี้ก่อนดีกว่าเดี๋ยวจะมาต่อเรื่อย ๆ ครับ